ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และ นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ร่วมตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 และมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ชี้แจงการประชุม ศบค.วานนี้ ได้อนุมัติให้มีการผ่อนคลายระยะที่ 2 จากการประเมินการผ่อนคลายระยะที่ 1 ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงเป็นลำดับ รวมทั้งความร่วมมือของประชาชนทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก จึงทำให้สามารถผ่อนคลายในระยะที่ 2 ตามมา โดยได้ออกข้อกำหนดฉบับที่ 7 ซึ่งการผ่อนคลายในระยะที่ 2 จะเป็นกิจกรรมหรือกิจการที่มีความเสี่ยงต่อการระบาดโรคอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง แต่มีผลต่อเรื่องเศรษฐกิจและสังคมค่อนข้างสูง คือ ยอมให้ความมั่นคงด้านสาธารณสุขมีความเสี่ยงมากขึ้น เพื่อผ่อนปรนให้การดำรงชีวิตมีความสะดวกสบายมากและเศรษฐกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งในระยะที่ 2 3 หรือ 4 จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ แต่จะมีการพิจารณาความเสี่ยงว่ายังอยู่ในความสามารถที่จะควบคุมได้ ประสิทธิภาพด้านสาธารณสุขมีขีดความสามารถรองรับความเสี่ยงได้ หากพบว่ากิจการหรือกิจกรรมใดก่อให้เกิดการแพร่เชื้อไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม 1 หรือ 2 ก็สามารถสั่งปิดได้ หรือเพิ่มมาตรการที่เข้มข้นขึ้นได้เช่นกัน
เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวถึงการเดินทางหลังจากวันที่ 17 พ.ค. 63 เป็นต้นไปว่า มาตรการบังคับใช้ควบคู่กับการผ่อนคลายระยะ2 ยังมี 3 มาตรการหลักได้แก่ 1. การเดินทางเข้าราชอาณาจักรทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ยังคงมีความเข้มข้นเช่นเดิม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดจากการนำเชื้อเข้าจากต่างประเทศ และยังไม่อนุญาตให้เครื่องบินพาณิชย์เข้า 2. ปรับระยะเวลาเคอร์ฟิวและการออกนอกเคหสถานขยับออกไปอีก 1 ชั่วโมง เป็น 23:00 น. ถึง 04.00 น. และ 3. ให้ชะลอการเคลื่อนย้ายข้ามจังหวัด ทั้งนี้ รัฐบาลเข้าใจความจำเป็นของประชาชนที่ต้องเดินทาง ซึ่งการเดินทางข้ามจังหวัดสามารถทำได้ หากมีความจำเป็นจริงๆ และเมื่อไปถึงปลายทางแล้ว ยังต้องปฏิบัติตามมาตรการจังหวัดนั้น ๆ พร้อมจะนำข้อเสนอให้ปรับเวลาเคอร์ฟิวเป็นช่วงเวลา 23.00 – 03:00 น. เพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางไปขายของที่ตลาดเช้าไปพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ การพิจารณาปรับเวลาในระยะต่อ ๆ ไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยังชี้แจงให้คลินิกทันตกรรมสามารถเปิดบริการ แต่อนุญาตให้คลินิกเวชกรรมเสริมความงาม สถานเสริมความงาม สามารถเปิดได้กรณีการเสริมความงามเฉพาะเรือนร่างและผิวพรรณ ไม่รวมถึงการเสริมความงามบริเวณใบหน้านั้นว่า กรณีของการทำฟัน ทันตกรรม เป็นกิจกรรมที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต แต่ยังต้องมีมาตรการที่เข้มงวด สถานเสริมความงามให้ทำช่วงเรือนร่างที่ไม่ใช่ใบหน้า เพราะยังเป็นการกระทำที่เสี่ยงติดเชื้อจากดวงตา และบริเวณอื่น ๆ บนใบหน้า ที่สำคัญในทุก ๆ กิจกรรมจะมีมาตรการควบคุมการจำกัดการใช้เวลาให้น้อยที่สุด
เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยังเตือนไปยังร้านค้า ร้านอาหารที่ไม่มีมาตรการป้องกัน ไม่มีการตั้งจุดตรวจวัดอุณหภูมิ หรือเว้นระยะห่างว่า จะมีหน่วยงานความมั่นคง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ของกรุงเทพฯหรือจังหวัดที่ได้รับการแต่งตั้งเข้าไปตรวจสอบ หากพบความบกพร่อง ครั้งแรกจะทำการตักเตือน ถ้ามีครั้งต่อไปอาจจะต้องพิจารณาปิดเป็นจุด ๆ ไป เพราะพฤติกรรมเหล่านั้นอาจเป็นข้อบ่งชี้ว่าทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคเป็นวงกว้างได้อีก
โอกาสนี้ นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังกล่าวว่า ศูนย์ปฏิบัติการด้านมาตรการช่วยเหลือเยียวยา คือ ดูแลการเยียวยาของภาครัฐให้ครอบคลุมให้ทั่วถึงกับพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม เพราะฉะนั้นมาตรการเยียวยาของภาครัฐตอนนี้ไม่ได้มีเฉพาะมาตรการ 5,000 บาท รวมทั้งมาตรการอื่น ๆ ออกมาเป็นระยะ ๆ เพื่อให้เกิดความครอบคลุมกับพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม
โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวว่า ประชากรไทยประมาณ 66 ล้านคน โดยกลุ่มแรงงาน 40 ล้านคน กลุ่มแรงงาน แบ่งออกเป็น กลุ่มที่ 1 แรงงานในระบบที่ได้รับการเยียวยาผ่านสำนักงานประกันสังคม โดยมีกลุ่มเป้าหมาย 11 ล้านคน กลุ่มที่ 2 แรงงานอิสระ กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานที่ดูแล “โครงการเราไม่ทิ้งกัน” มาตรการ 3 เดือน ซึ่งปัจจุบันมีผู้ผ่านเกณฑ์ประมาณ 15 ล้านคน โดยจะมีผู้ผ่านเกณฑ์เพิ่มขึ้น โดยกลุ่มเป้าหมาย 16 ล้านคน กลุ่มที่ 3 เกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย 10 ล้านคน โดยมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานที่ดูแล มาตรการเยียวยา 5,000 บาท 3 เดือน เป็นต่อครอบครัว หัวหน้าครัวเรือนเกษตรเป็นผู้ได้รับเงิน กลุ่มที่ 4 มีประมาณ 3 ล้านคน เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ อาทิ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ข้าราชการในหน่วยงานของท้องถิ่น ซึ่งวันนี้รัฐบาลดูแลท่านอยู่ โดยยังไม่มีการลดเวลาการทำงานหรือลดเงินเดือน เมื่อนำทั้งกลุ่ม 1 – 4 รวมกันจะได้ตัวเลขประมาณ 40 ล้านคน ซึ่งกลุ่มนี้ได้รับการดูแลแต่ละมาตรการอยู่แล้ว
นอกจากนี้ กลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงมาตรการของภาครัฐ ได้แก่กลุ่มที่ 5 กลุ่มเปราะบาง ประกอบด้วย เด็กแรกเกิด ผู้สูงอายุ คนพิการ มีจำนวน 13 ล้านคน โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำลังเสนอมาตรการเพื่อที่จะดูแลประชาชนกลุ่มนี้ กลุ่มที่ 6 กลุ่มผู้มีรายได้น้อย เป็นกลุ่มที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีจำนวนเต็มที่ 14.6 ล้านคน แต่วันนี้การเยียวยาของภาครัฐจะเน้นการเยียวยาที่จะไม่ซ้ำซ้อนกันระหว่างกลุ่ม ดังนั้นนำ 14.6 ล้านคนของผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ หักออกจากกลุ่มที่ 1 -4 ในกรณีที่มีความซ้ำซ้อน จะเหลือกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อยที่มาตรการของภารรัฐยังลงไปไม่ถึงประมาณ 2.4 ล้านคน กลุ่มที่ 7 คือ กลุ่มคนลงทะเบียนไม่สำเร็จ เป็นกลุ่มที่มีผู้มาร้องเรียนจำนวนมากที่กระทรวงการคลังและกรมประชาสัมพันธ์ ประมาณ 1.7 ล้านคน ภาครัฐดูแลอยู่ในขณะนี้ กลุ่มที่ 8 ผู้ที่ได้รับผลกระทบทางสังคมกรณีฉุกเฉินประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มีกลไกและระเบียบรองรับอยู่แล้ว ทั้งนี้ ลดความซ้ำซ้อนกลุ่มที่ 5 – 8 จะมีจำนวนเหลือไม่เกิน 12.5 ล้านคน และ กลุ่มที่ 8 อายุต่ำกว่า 18 ปี อีก 13.5 ล้านคน ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะดูแลประชาชนทุกกลุ่ม 66 ล้านคน จากมาตรการต่างๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้วและยังมีอีกหลายมาตรการที่จะเริ่มต้น
โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวว่า รัฐบาลดูแลประชาชนผู้ประกอบการผ่านมาตรการอื่น ๆ อีก อาทิ กลุ่มประชาชน คือ การบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย การป้องกันโรค เพิ่มสภาพคล่องในช่วงวิกฤตโควิด-19 โดยยืดภาระการเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดา จากเดือนมีนาคมออกไปเดือนสิงหาคม การชะลอการลดการจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ด้านป้องกันโรค คือ หากป่วยโควิด-19 ตรวจฟรี รักษาฟรี แจกหน้ากากอนามัยให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงทุกคน ดูแลทั้งการแพทย์ในทุก ๆ มิติ นอกจากนี้ รัฐบาลเตรียมสินเชื่อฉุกเฉินให้กับประชาชน วงเงิน 4 หมื่นล้านบาท สามารถกู้โดยไม่ต้องมีหลักประกันใด ๆ ที่ธนาคารออมสินและธกส. แห่งละ 2 หมื่นล้าน ซึ่งดอกเบี้ยร้อยละ 0.1 ต่อเดือนเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีสินเชื่อพิเศษวงเงิน 50,000 บาทต่อคน ดอกเบี้ยร้อยละ 0.35 ต่อเดือน โดยให้มีหลักประกันบ้างสามารถติดต่อที่ธนาคารออมสิน
โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวว่า กลุ่มของผู้ประกอบการ คือ ลดค่าใช้จ่ายการดูแลป้องกันโรคและเพิ่มสภาพคล่อง โดยการลดค่าใช้จ่ายที่สำคัญ คือ การจ้างงาน โดยภาคธุรกิจที่รักษาระดับการจ้างงานไว้ในช่วงเดือน เม.ย.-มิ.ย. สามารถนำค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานไปหักค่าใช้จ่าย 3 เท่า เป็นแรงจูงใจให้ดูแลแรงงานและรักษาการจ้างงานไว้ นอกจากนี้ การยืดระยะเวลาการเสียภาษีนิติบุคคล จะช่วยบรรเทาค่าใช้จ่ายให้มีสภาพคล่องในมือมากขึ้นเช่นกัน การยกเว้นภาษีอากรนำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและรักษาโควิด โดยสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ประกอบการคือ มาตรการเติมเงินรักษาสภาพคล่องให้กับธุรกิจคือ การลดภาษีหัก ณ ที่จ่าย จากปกติต้องเสียในอัตราร้อยละ 3 วันนี้เสียร้อยละ 1.5 กระทรวงการคลังได้มีนโยบายที่ชัดเจน การขอคืน VAT ถ้ายื่นผ่านระบบ 15 วัน จะได้เงินคืน ถ้าหากยื่นเอกสารใช้เวลา 45 วัน นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยยังเตรียมเงิน 5 แสนล้านบาท สำหรับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อกระจายลงไปธุรกิจต่างๆ
โฆษกกระทรวงการคลังยังเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่อนคลายต่าง ๆ ของภาครัฐ โดยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีผลต่อการเข้าถึงการบริการทางการเงินเป็นอย่างมาก โดยให้มีการผ่อนคลายมาตรการของการเป็นลูกหนี้ NPL ให้กลับมาเป็นลูกหนี้ที่ดี เพื่อให้สามารถเข้าถึงการบริการทางการเงินได้
ทั้งนี้ ยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมดูแลคนทุกกลุ่ม ดูแลพี่น้องประชาชนอย่างถ้วนหน้าตามมาตรการที่เหมาะสมที่แตกต่างกันไป และพร้อมที่จะออกมาตรการดูแลอย่างทันท่วงทีให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะมีมาตรการออกมา รองรับได้อย่างทันท่วงทีและมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อให้พี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการสามารถผ่านวิกฤติโควิด-19 นี้ไปได้ด้วยกัน
โอกาสนี้ โฆษกกระทรวงการคลังยังตอบคำถามเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือเยียวยา 5,000 บาท ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนบางรายได้รับ แจ้งว่าเป็นเกษตรกร ทำให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับเงินกลัวว่าจะตกหล่นนั้น โดยยืนยันว่า กระทรวงการคลังได้มีการส่ง SMS ไปยังผู้ลงทะเบียนโครงการ “เราไม่ทึ้งกัน” แจ้งว่าเป็นหัวหน้าครัวเรือนเกษตรนั้น ประมาณ 470,000 คนนั้น ขณะนี้กระทรวงการคลังได้มีการปรับปรุงข้อมูลเรียบร้อย จะดำเนินการจ่ายเงินทั้งหมดได้พุธหน้า สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนไม่สำเร็จประมาณ 1.7 ล้านคน นั้น ยืนยันว่าไม่ตกหล่น กระทรวงการคลังจะดูแลแน่นอน
อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ลงทะเบียนไม่สำเร็จและกลุ่มผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียน เป็นคนละกลุ่มแตกต่างกัน เพราะกลุ่มผู้ลงทะเบียนไม่สำเร็จนั้น กระทรวงการคลังมีข้อมูลครบถ้วน สามารถดำเนินการต่อได้ ซึ่งขณะนี้ “โครงการเราไม่ทึ้งกัน” ปิดลงทะเบียนแล้ว ดังนั้น ผู้ที่ยังไม่เคยลงทะเบียน จะต้องไปดูการช่วยเหลือจากมาตรการอื่นๆ ของภาครัฐที่จะออกมา เพื่อมิให้ตกหล่นใครเลย สำหรับกลุ่มที่เป็นทั้งข้าราชการและเกษตรกรนั้น กระทรวงการคลังจะได้ดำเนินตรวจสอบความซ้ำซ้อน และส่งข้อมูลชุดนี้ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แล้ว เชื่อว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือที่เหมาะสมต่อไป
ในตอนท้าย โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สำหรับบุคคลที่เดือดร้อนมีข้อร้องเรียน สามารถเดินทางไปธนาคารรัฐทุกแห่งได้ทุกสาขา ซึ่งปัญหาร้องเรียนส่วนใหญ่แบ่งออกได้ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนเลย ขอให้ดูมาตรการอื่น ที่รัฐบาลจะดูแลอาจไม่จำเป็นต้องเดินทางมา กลุ่มที่ 2 คือผู้ลงทะเบียนไม่สำเร็จประมาณ 1.7 ล้านคนแม้ว่าไม่มาร้องเรียน รัฐบาลกลับมาดูแล ไม่ตกหล่น กรณีกลุ่มบัญชีไม่ตรง ซึ่งหลายรายได้ไปผูกบัญชีพร้อมเพย์แล้ว ซึ่งสัปดาห์หน้าจะมีการโอนเงินให้กลุ่มนี้ วันอังคาร 700,000 คน และ วันพุธโอนให้กลุ่มที่เคยได้รับแจงเป็นหัวหน้าครัวเรือนเกษตร อีก 400,000 คน และในวันจันทร์ 200,000 คน จากโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน
