สวัสดีค่ะ คราวที่แล้วพาเที่ยวโรม รู้จักอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของโรมันในอดีตที่ยังคงมนต์เสน่ห์จนถึงวันนี้ แต่เป้าหมายที่สำคัญหนึ่งที่นักท่องเที่ยวมุ่งหน้าไปโรมก็คือ นครวาติกัน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์ เป็นรัฐที่เล็กที่สุดในโลก และประชากรน้อยที่สุดเช่นกัน ปัจจุบันประมาณพันคน ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 110 เอเคอร์ ฝั่งทิศตะวันตกของแม่น้ำ ไทเบอร์ จากกรุงโรม เป็นแอ่งประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรมของโลกที่น่าทึ่ง และเป็นที่ประทับสมเด็จพระสันตะปาปา หรือผู้นำคริสตจักรโรมันคาทอลิคทั่วโลก มีฐานะเป็นรัฐอธิปไตยที่ตั้งอยู่ภายในกรุงโรม
ก่อนพาเที่ยวขอเข้าโหมดวิชาการเพื่อรู้จักนครวาติกันพอสังเขปนะคะ โดยในปี คศ.1929 มีการลงนามสนธิสัญญากับอิตาลียอมรับสถานะ นครวาติกันเป็นรัฐเอกราช มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง ในปีคศ. 1960 ได้รับการจารึกให้เป็นดินแดนที่ต้องปกป้องพิเศษในกรณีที่มีการขัดแย้งทางอาวุธ ภายในนครวาติกันมีหอสมุดเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 มีหอจดหมายเหตุนครวาติกัน พิพิธภัณฑ์วาติกัน มหาวิหารนักบุญเปรโต นครวาติกันมีสำนักพิมพ์เป็นของตนเอง จัดพิมพ์ผลงานภาษาต่างๆ รวมถึงหนังสือพิมพ์รายวันที่มีมาตั้งแต่ ปีคศ 1861 และในปีคศ 1931 จัดตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงถ่ายทอดเสียงถึง 30 ภาษา ปัจจุบันมี 3 สถานี และสถานีโทรทัศน์ 1 สถานี ทั้งนี้ นครวาติกันมีรายได้หลักมาจาก การสนับสนุนทางการเงินขององค์กรคริสตศาสนานิกายโรมันคาทอลิคทั่วโลก จากการลงทุนต่างๆของหน่วยงาน ค่าธรรมเนียมเข้าชมพิพิธภัณฑ์ การจำหน่ายสิ่งพิมพ์ ตราไปรษณียกร และของที่ระลึกนักท่องเที่ยว สำหรับเชื้อชาติ วาติกัน ที่หลายคนสงสัย ความจริงก็คือ เชื้อชาตินี้ไม่มีในโลก จะมีแต่พลเมืองสัญชาติ วาติกัน โดยบุคคลที่ ทำงาน หรือมีตำแหน่งในนครวาติกัน รวมถึงเจ้าหน้าที่ฑูตวาติกันที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆทั่วโลก รวมถึงในไทยด้วย นอกจากนี้ก็มีทหาร สวิสมีหอกโบราณเป็นอาวุธประดับเกียรติ เป็นองครักษ์พระสันตะปาปา มีมาตั้งแต่ปีคศ 1506 ทุกนายเป็นชาวสวิส รวมถึง ภรรยา บุตรอายุไม่เกิน 25 ปี ของบุคคลที่มีตำแหน่ง และทำงานใน นครวาติกัน แต่เมื่อพ้นตำแหน่งก็กลับคืนสู่สัญชาติเดิม
กลับเข้าสู้โหมดเที่ยวกันต่อนะคะ วันนี้เป็นวันที่สองของการเที่ยวกรุงโรม เราโฟกัสกันที่ นครวาติกันที่เดียวเท่านั้น แม้จะจองตั๋วไว้ล่วงหน้าก็ไม่วายที่ต้องรอคิวเข้าด้านใน นักท่องเที่ยวเยอะมากบวกกับเป็นวันที่ พระสันตะปาปาเสด็จหน้ามุขให้คริสตศาสนิกชนเฝ้ารับเสด็จ คนก็ยิ่งเยอะขึ้นไปอีก แนะนำว่าต้องจองตั๋วล่วงหน้าดีที่สุดค่ะ คู่มือแนะนำเที่ยวมีหลายจุดที่น่าสนใจ แบ่งเป็นโซนพิพิธภัณฑ์ มหาวิหาร หอจดหมายเหตุ ด้านหน้าเป็นจัตุรัส St. Peter ด้านหลังที่สิ้นสุดตัวอาคารจะเป็นสวน มองเห็นในเขตพื้นที่ ที่ประทับของพระสันตะปาปา แต่เชื่อมั้ยคะว่าพอย่างเท้าเข้าไปด้านในเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่งจริงๆ เราเริ่มจากเดินชมรอบๆ St. Peter’s Basilica เป็นอะไรที่ต้องตะลึง ทึ่งใน ศิลปะ สถาปัตยกรรม คนในยุคนั้นช่างมีแรงดลใจสร้างสิ่งที่เลิศเลอได้ถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะรูปปั้น Michelangelo’s Pieta สวยมากค่ะ เดินไปถึงห้องโถงยาว ลักษณะเป็นโดมทางเดิน เป็นจุดที่มีชื่อเสียงที่นักท่องเที่ยวอยากสัมผัสนั่นคือ Sistine Chapel ภาพเขียนบนเพดานและผนังอันวิจิตร จารึกอันยิ่งใหญ่ของคริสตศาสนา ได้รับการบันทึกจาก กินเนสบุ๊คว่าเป็นภาพเขียนที่สวยงามที่สุดในโลก ส่วนห้องที่เรียก A Mass เสมือนหัวใจคาทอลิค แม้จะไม่ใช่คริสต์แต่พอสัมผัสจะรู้สึกถึงวัฒนธรรมศาสนาได้ทันที และในโซนพิพิธภัณฑ์ส่วนมากจะเน้นเกี่ยวกับศาสนา แต่พูดได้เลยว่า ความรุ่งเรืองของมนุษย์ สิ่งของ เครื่องใช้ ภาพเขียน รูปปั้น ศิลปะ สถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกอยู่ที่นี่ บางห้องจะถูกห้ามไม่ให้ถ่ายภาพ
สุดท้ายเราหลุดออกมาที่จตุรัส St.Peter’s Square ต้องบอกว่าคลื่นมนุษย์ค่ะ อย่างที่บอกเป็นวันที่สมเด็จพระสันตะปาปาเสด็จออกหน้ามุข กว่าจะหลุดออกมาได้เล่นเอาเหงื่อตก มีพื้นที่พอได้เก็บภาพและบรรยากาศบ้างก่อนกลับ คุ้มค่ะ นี่คือ นครรัฐที่เล็กที่สุดในโลก Vatican City ในกรุงโรม โลกไม่กว้างอย่างที่คิด กำไลชีวิตคือการเดินทาง ฉบับหน้าเราจะกลับไปที่อเมริกาเหนือกันอีกครั้งที่ประเทศแคนาดา เริ่มกันที่เมืองหลวง กรุงออตตาวา อย่าลืมติดตามอ่านนะคะ สวัสดีค่ะ